![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
![]() ![]() |
|
|
หนทางในการรักษาผู้ที่สัมผัสกับ เชื้อโรคพิษสุนัขบ้านั้น กระทำสองประการคือ ปฐมพยาบาล และสร้างภูมิคุ้มกัน
การปฐมพยาบาล เป็นการกำจัด ชะล้างเชื้อโรคออกไปให้มากที่สุด หากมีแผลจากการกัด หรือข่วน ก็ให้ล้างด้วยน้ำ และสบู่หลาย ๆ ครั้ง พยายามล้างให้ถึงก้นแผล เสร็จแล้วซับแผลให้แห้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อโรค ถ้าน้ำลายของสัตว์เข้าตา ก็ใช้การกลอกตาในน้ำ กะพริบตาด้วย วิธีการเหล่านี้ เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอจะให้ทำอีกครั้ง และมักไม่เย็บแผล
การสร้างภูมิคุ้มกัน อาจจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันก่อนสัมผัสโรค โดยการฉีดวัคซีนป้องกันให้ จะทำกับผู้ที่เสี่ยงต่อการติดโรค เช่น นักวิจัยเกี่ยวกับโรคนี้ สัตวแพทย์ บุรุษไปรษณีย์ บุคลากรที่ทำหน้าที่ควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า ผู้ชันสูตรโรค รวมทั้งนักท่องเที่ยวเองก็สามารถฉีดวัคซีนล่วงหน้าได้
นอกจากนั้น ก็เป็นการสร้างภูมคุ้มกันหลังสัมผัสโรค ซึ่งจะดูว่า สัมผัสกับโรคมาแบบไหน โดยปกติ ถ้าถูกกัด ข่วน ถูกเลีย น้ำลายเข้าตา จู่ ๆ ก็มีสุนัขมากัด โดนสัตว์จรจัด หรือสัตว์ป่ากัด หรือสามารถชันสูตรได้ว่า สัตว์ที่สัมผัสเป็นโรค ก็จะสันนิษฐานไว้เลยว่า มีเชื้อพิษสุนัขบ้า หมอก็จะฉีดวัคซีนให้
ภูมิคุ้มกันที่หมอจะฉีดให้มีสองกลุ่ม คือ ภูมิคุ้มกันจากแหล่งภายนอกร่างกาย คือ อิมมูนโกลบิน เป็นภูมิคุ้มกันที่ผลิตจากมนุษย์ (แต่เดิมจะผลิตจากม้า) โดยตรง อีกกลุ่มเป็น การกระตุ้นให้ร่างกายผลิตภูมิคุ้มกันเอง มักใช้กับการสร้างภูมิคุ้มกันก่อนสัมผัสโรค แต่ก็เอามาใช้กับผู้ที่สัมผัสโรคแล้วได้ เนื่องจากเชื้อพิษสุนัขบ้าจะอยู่บริเวณที่ถูกกัดระยะหนึ่ง ร่างกายยังมีเวลาสร้างภูมิคุ้มกันเองได้ การฉีดจะต้องทำตามกำหนด คือ ถ้าเป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จะฉีดในวันที่ 0,3,7,14 และ 30 ถ้าเป็นการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง จะฉีดครั้งละ 2 จุดที่ไหล่ซ้ายและขวา ในวันที่ 0,3,7 และฉีดครั้งละ 1 จุดในวันที่ 30 และ 90
ไปหน้า
1 - เปิดเรื่อง
2 - วายร้ายตัวจริง
3 - 5 วิธีแห่งการติดต่อของโรค
4 - สัญญาณอันตราย
5 - จะจัดการอย่างไร ?
6 - อย่าเปิดโอกาส