![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
![]() ![]() |
|
|
การสร้างฝนเทียมนั้น มีขั้นตอนอยู่สามขั้นตอนคือ ก่อกวนสภาพอากาศ เลี้ยงให้อ้วน และโจมตี ซึ่งแบ่งแยกตามวัตถุประสงค์ของการทำฝนให้เกิดการเพิ่ม หรือเสริมกระบวนการทางธรรมชาติของเมฆในขั้นแรก ทำให้เมฆเพิ่มปริมาณในขั้นที่สอง และทำให้ฝนตกในพื้นที่เป้าหมายตลอดจนขยายพื้นที่ ในขั้นที่สาม
[ อ่านกระบวนการเกิดฝนตามธรรมชาติ คลิกที่นี่ ]
ก่อกวนสภาพอากาศ ขั้นนี้จะเริ่มปฏิบัติการในเวลา 9.00 น. ทั้งนี้เพราะเป็นช่วงเวลาที่โลกได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ และเริ่มสะท้อนกลับสู่บรรยากาศ ทำให้อากาศเริ่มร้อนและยกตัวลอยขึ้น วัตถุประสงค์ของขั้นนี้ก็เพื่อเสริมการยกตัวของอากาศ และสร้างแกนอากาศ โดยใช้การโปรยสารเคมีจำพวกสูตรร้อน ก็คือ แคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมคาร์ไบด์ และแคลเซียมออกไซด์ ร่วมกับการโปรยสารเคมีสร้างแกนอากาศบางส่วน ก็คือ โซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกงนั่นเอง และอาจจะใช้สาร ท1 ด้วย
เลี้ยงให้อ้วน จะเริ่มปฏิบัติการขั้นนี้ในเวลา 11.00-13.00 น. เป็นการเร่ง เสริมให้เมฆก่อตัว และก่อยอดสูงขึ้น หรือเพิ่มความหนาแน่นของไอน้ำในเมฆ โดยการโปรยสารเคมีดูดซับความชื้นได้ดี และสารเคมีสูตรเย็นที่ทำให้อุณหภูมิที่ฐานเมฆต่ำลง ในขณะเดียวกันก็จะเกิดกระแสลมพัดในก้อนเมฆ อันเนื่องมาจากการกลั่นตัวด้วย สารเคมีที่ใช้ในขั้นนี้ก็คือ โซเดียมคลอไรด์ แคลเซียมคลอไรด์ แอมโมเนียมไนเตรต ยูเรีย และน้ำแข็งแห้ง โดยจะโปรยบริเวณไหล่หรือยอดเมฆ หรือระหว่างช่องว่างของเมฆ
โจมตี เริ่มปฏิบัติการในเวลา 14.00-16.00 น. เป็นการเร่งให้กลุ่มเมฆเกิดฝนตก และเสริมให้ฝนที่ตกอยู่แล้วหนาแน่นขึ้น โดยการเลือกเมฆที่มีระยะการเติบโตยอดสูง 8,000 ฟุต หนาจากฐานถึงยอด 5,000 ฟุต แล้วโปรยด้วยสารเคมีสูตรเย็น ได้แก่ ยูเรีย แอมโนเนียมไนเตรต และน้ำแข็งแห้ง ทำให้อุณหภูมิที่ฐานเมฆต่ำลง หยดน้ำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นความเย็นยังช่วยลดกระแสลมที่พัดขึ้นลงจนไม่อาจพยุงหยดน้ำไว้ได้ แล้วก็ตกลงมาเป็นสายฝนนั่นเอง
สำหรับเวลาในการปฏิบัติการนั้น จะตัดสินใจว่าเป็นเวลาใดก็ขึ้นอยู่กับสภาวะอากาศในแต่ละวันว่า จะเหมาะสมในเวลาใด ส่วนสารเคมีที่ใช้ก็อยู่ในรูปของผงละเอียดแห้งขนาดประมาณ 150-450 ไมครอน (1 ไมครอนเท่ากับ 1ในล้านเมตร)
นั่นก็เป็นลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติการสร้างฝนเทียม โดยทั่วไปฝนเทียมจะตกลงมาหลังจากการปฏิบัติการแล้ว 5-6 ชั่วโมง โดยที่ก่อนจะปฏิบัติการนั้น ก็ต้องวางแผนการบิน ว่าจะไปโปรยสารเคมีที่เมฆตรงไหน ทิศทางในการโปรยเป็นอย่างไร ใช้ปริมาณสารเคมีมากน้อยแค่ไหน โดยดูจากข้อมูลสภาพอากาศนั่นเอง ซึ่งจะทำให้เราได้ฝนในปริมาณที่ต้องการ และตกในพื้นที่เป้าหมายของเราอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ตกก่อนหรือเลยเป้าหมายไปแล้ว
ไปหน้า
1 - เปิดเรื่อง
2 - ความเป็นมาของฝนหลวง
3 - การทำฝนหลวงในประเทศไทย
4 - สภาพอากาศที่เหมาะสมในการทำฝนหลวง
5 - เตรียมความพร้อมก่อน
6 - สร้างฝนกันเสียที
7 - แผนปฏิบัติการฝนหลวง
8 - ภารกิจเสริมของฝนหลวง
9 - ฝนมีค่า น้ำมีคุณ